วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

แพทย์และพยาบาลความท้าทายในตลาดศูนย์กลางสุขภาพ AEC

แพทย์และพยาบาลความท้าทายในตลาดศูนย์กลางสุขภาพ AEC

ถึงแม้ว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติอันดับต้นๆ ของเอเชีย มีผู้ป่วยชาวต่างชาติมารับบริการรักษา พยาบาลไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านคนโดยเฉลี่ย ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งมีส่วนสร้างรายได้ และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ แต่มีความ จําเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาระบบสุขภาพ และส่งเสริมให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึงและมี ประสิทธิภาพตลอดจนส่งเสริมให้ภาคเอกชนและชุมชน มีส่วนร่วมในการพัฒนาสุขภาพและการจัดบริการสาธารณสุขนอกเหนือจากความจําเป็น ที่จะต้องสนับสนุนระบบบริการสาธารณสุขที่มุ่งเน้นประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือทรัพยากรด้านสุขภาพของประเทศมีอยู่อย่างจํากัด และปัจจุบันบุคลากรสาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล มีความขาดแคลนในภาพรวม อีกทั้งมีการ กระจายตัวทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้การผลิตบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลเกือบทั้งหมดอยู่ในภาครัฐ ซึ่งได้รับงบประมาณจากเงินภาษีของแผ่นดิน บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล จึงมีพันธกิจหลักในการให้บริการสุขภาพเพื่อประชาชนคนไทยเป็นสําคัญ
อย่างไรก็ตาม การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติถึงแม้อาจมีส่วนทําให้แพทย์ไทยที่ทํางานต่าง ประเทศจํานวนหนึ่งกลับเข้ามาทํางานในประเทศไทย ขณะเดียวกันนโยบายนี้และระบบที่เป็นอยู่ทําให้เกิดการดึงแพทย์จากโรงพยาบาล รัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ไปสู่สถานพยาบาลในภาคเอกชน ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล การเรียนการสอน และภาระงานในภาครัฐ
ในปัจจุบัน การเปิดเสรีทางการศึกษาและบริการสุขภาพและการย้ายถิ่นให้บริการทางวิชาชีพ ระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นยังมีขอบเขตจํากัด มีการกีดกันภายในประเทศ นอกเหนือจากอุปสรรคในประเทศปลายทางด้านภาษาและปัญหาเกี่ยวกับ ข้อตกลงในสัญญาว่าจ้าง ในขณะเดียวกันสําหรับในประเทศไทยในฐานะประเทศต้นทางนั้น ความต้องการในการโยกย้ายถิ่นฐานไปให้บริการในต่างประเทศยังไม่ใช่กระแสหลัก เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งที่สําคัญได้แก่ความต้องการทํางานเพื่อ รับใช้คนในชาติยังเป็นจุดยืนสําคัญของบุคลากรทั้งทางการแพทย์และพยาบาล ความรู้สึกว่าไม่ต้องการแยกจากครอบครัว ยังคงพบได้ทั่วไป ข้อจํากัดด้านความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานนอกประเทศ และอายุ ทั้งนี้หลักสูตรและเงื่อนไขภายหลังจบการศึกษาของไทย ยังไม่เอื้อต่อการแข่งขัน เชิงธุรกิจการศึกษาระดับภูมิภาคเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งสําคัญ อย่างสิงคโปร์หรือฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตาม ในการเตรียมความพร้อม ที่เหมาะสมรองรับการเปิดเสรีการค้าบริการของอาเซียนและการเป็นศูนย์กลาง สุขภาพนานาชาติของไทยพบว่า กลุ่มผู้จ้างงานต้องการให้บุคลากรทั้งทางการแพทย์และพยาบาลของไทยมีทักษะและ องค์ความรู้ใหม่ๆ ในการรักษาและบริการ มีทักษะด้านภาษาและ การสื่อสารที่ดีเข้าใจกฎหมาย มีพฤติกรรมในการให้บริการที่ดีและที่มีจรรยาบรรณ ในขณะที่กลุ่มผู้ผลิตบุคลากรทั้งทางการแพทย์และพยาบาลของไทยเห็นว่า การเตรียมความพร้อมที่เหมาะสมรองรับการเปิดเสรีการค้าบริการของอาเซียนและ การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติของไทยจําเป็นต้องเน้นที่การปรับปรุงหลัก สูตรตามมาตรฐานสากล และการเป็น Thailand Nursing Education Hub ส่วนกลุ่ม
นักศึกษาแพทย์และพยาบาลวิชาชีพ เห็นว่า ในการเตรียมความพร้อมที่เหมาะสมรองรับการเปิดเสรีการค้าบริการของอาเซียนและ การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติของไทยนั้น ต้องการผู้รู้มาชี้แนะช่องทาง ให้เห็นโอกาสที่ดีกว่าของความเป็นนานาชาติและการพัฒนาภาษาอังกฤษของผู้ให้ บริการวิชาชีพนี้
ข้อค้นพบข้างต้นเป็นผลจากวิธีวิจัยแบบผสม ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยการวิจัยเชิงคุณภาพได้ใช้ข้อมูลทั้งในระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิประกอบ ด้วยการวิจัยเอกสารและการวิจัยภาคสนามรวมทั้งการสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมระดมสมอง ในโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาและการผลิตบุคลากรในการให้บริการสุขภาพเพื่อรองรับการเปิดเสรีอา เซียนภาคการค้าบริการ” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 5 ประการคือ

1.เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานด้านแนวทางและกรอบกติกาการเปิดเสรีทางการศึกษา และการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนของบุคลากร การบริการสุขภาพด้านการแพทย์และพยาบาลในกรอบความตกลงการค้าบริการของอาเซียน (AFAS)

2.เพื่อศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวทางการผลิตบุคลากรวิชาชีพทางการ แพทย์และพยาบาล ของสิงคโปร์และฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการแข่งขัน

3.เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยดึงดูดในประเทศไทยที่มีผลต่อการเข้ามาให้ บริการทางวิชาชีพของแพทย์และพยาบาลต่างชาติรวมถึงการวิเคราะห์ปัจจัยผลักใน ประเทศไทยที่ส่งผลต่อการออกไปแข่งขันให้บริการทางวิชาชีพในประเทศสมาชิกอา เซียนอื่นของแพทย์และพยาบาลไทย

4.เพื่อศึกษาแนวทางทางการเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาและหลักสูตร การเรียนการสอนด้านการแพทย์และพยาบาลของไทยรองรับทางการเปิดเสรีทางการศึกษา และการบริการสุขภาพ

5.เพื่อเสนอแนวทางเชิงนโยบาย ต่อการปรับตัวของสถาบันการศึกษาด้านการแพทย์และพยาบาลของไทยรองรับตลาดแรง งานทางวิชาชีพด้านบริการสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปในบริบทการเปิดเสรีทางการ ศึกษาและการบริการสุขภาพของประชาคมอาเซียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น