วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

สรุปรายงานการประชุมวิชาการเรื่อง การวิจัยทางการพยาบาลสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

 สรุปรายงานการประชุมวิชาการเรื่อง การวิจัยทางการพยาบาลสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

บทนำ
      การที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (Asean Economics Community: AEC)   ในปี พ.ศ.๒๕๕๘ การพยาบาลซึ่งเป็นงานบริการทางด้านสุขภาพหนึ่งในสาขาบริการเร่งรัดตาม AEC Blueprint สมาชิกวิชาชีพพยาบาลทุกคนจึงควรเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาสุขภาพ ระดับอาเซียน ที่จะส่งผลต่อลักษณะการปฏิบัติงานและการจัดการทรัพยากรทางการพยาบาล ดังนั้นการวิจัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิชาชีพพยาบาลเพื่อใช้เป็นกลวิธีใน การหาคำตอบสำหรับปัญหาต่างๆที่สามารถเชื่อถือได้ และสามารถใช้ในการประกอบการตัดสินใจในการปฏิบัติการพยาบาลและการบริหารการ พยาบาล รวมทั้งเป็นการระดมสมองและสร้างเวทีทางวิชาการเพื่อการวิจัยและการใช้ผลการ วิจัยในการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติการพยาบาลสำหรับการแข่งขัน การเทียบเคียงคุณภาพการบริการพยาบาลเมื่อวิชาชีพการพยาบาลไทยก้าวสู่ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนต่อไป
พยาบาลคือผู้ดุแลสุขภาพของทั้งบุคคล ครอบครัว ชุมชนและสังคม จึงมีความจำเป็นที่วิชาชีพพยาบาลต้องตอบสนองความจำเป็นด้านสุขภาพพื้นฐานของ สังคมและการให้บริการทางการพยาบาลเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง พยาบาลทุกคนจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัญหาสุขภาพระดับอา เซียนที่กำลังจะมาถึงในปี พ.ศ.๒๕๕๘

บทบาทพยาบาลกับการเข้าสู่กลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
บรรยายโดย ร.ท.หญิง ดร.แก้ววิบูลย์ แสงพลสิทธิ์ ร.น.
บัณฑิตศึกษา วิทยาลัยเซนต์หลุยส์
อาเซียน(ASEAN) หรือสมาคมเศรษฐกิจอาเซียน(Association of Southeast Asian Nation-Asean) ก่อตั้งเมื่อเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ ได้มีการลงนามปฏิญญากรุงเทพฯ(Bangkok Declaration)ที่วังสราญรมย์ มีสมาชิกในขระนั้น ๕ ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ และในปี ๒๕๔๒ จนถึงปัจจุบันอาเซียนได้มีจำนวนสมาชิกเพิ่มอีก ๕ ประเทศคือ บรูไน ดารุสซาลาม เวียดนาม ลาว พม่าและกัมพูชา รวมเป็น ๑๐ ประเทศ มีประชากรรวมกัน ๕๐๓ ล้านคน มีดินแดนรวม ๔.๕ ล้านตารางกิโลเมตร ผลิตภัณฑ์มวลรวม ๗๓๗ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าการค้ารวม ๗๒๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๑๓ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ณ ประเทศสิงคโปร์ ในโอกาสครบรอบ ๔๐ปีของการก่อตั้งอาเซียน จึงเท่ากับเปลี่ยนสถานะของอาเซียนซึ่งเป็นเพียงสมาคมให้มีสถานะเป็น นิติบุคคลและกลายเป็น องค์กรระหว่างรัฐบาล มีการปรับโครงสร้างขององค์กรที่ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีของอาเซียน ทำหน้าที่เป็น ๓เสาหลัก ได้แก่
๑.ด้านการเมืองและความมั่นคง
๒.ด้านเศรษฐกิจ
๓.ด้านสังคมและวัฒนธรรม
กระบวนการตัดสินใจเกิดจาการประชุมระดับผู้นำ มีการเพิ่มอำนาจสำนักเลขาธิการ(Secretariat) และผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ (Secretary General) มีการกำหนดกลไกระงับข้อพิพาท และให้อำนาจเลขาธิการอาเซียนดุแลการปฏิบัติตามพันธะกรณีและคำตัดสินของ องค์กรระงับข้อพิพาท เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามรับรองปฏิญญาชะอำ หัวหิน ว่าด้วยการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ค.ศ. ๒๐๐๙-๒๐๑๕) เพื่อจัดตั้งประชาคมอาเซียนที่ประกอบด้วย ๓ ประชาคม ดังนี้
  • ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน(ASEAN Political Security Community :APSC)มุ่งให้ประชาชนในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีระบบแก้ไขความขัดแย้ง มีความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคง
  • ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจและอำนวยความสะดวกในการติดต่อซื้อขาย ระหว่างกัน เพื่อให้สามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นได้
  • ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural community: ASCC) มุ่งให้ประชาชนในภูมิภาคอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมเอื้ออาทร มีสวัสดิการสังคมที่ดี และมีความมั่นคงทางสังคม
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนถูกตั้งเป้าหมายให้เป็นประชาคมอย่างสมบูรณ์ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๓
แต่ต่อมาเมื่อมีการประชุมผู้นำอาเซียนที่ เกาะเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐ ผู้นำอาเซียนได้มีการลงนาม ปฏิญญาเซบู ว่าด้วยการเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้เร็วขึ้นอีก ๕ ปี เป็นภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยมีการจัดทำพิมพ์เขียวสำหรับการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC Blueprint) ขึ้นในวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อให้ประเทศสมาชิกใช้เป็นพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติร่วมกันในการเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตามกรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามแผนงานดังกล่าว คือการเปิดตลาดสินค้า การเปิดตลาดการค้าบริการ การลงทุนให้กับประเทศสมาชิก การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรี รวมถึงความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งการดำเนินงานจะเกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วยงานในประเทสรวมทั้งการแก้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีที่ได้ตกลงไว้ โดยเฉพาะการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวของอาเซียน นอกจากนี้เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออก อันจะนำไปสู่การจัดตั้งเอเชียตะวันออก(East Asia community) จึงเกิดกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศนอกกลุ่ม ๓ ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เกิดเป็น “อาเวียนบวกสาม” และเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในเวทีโลก อาเซียนได้ขยายการจัดทำความตกลงการค้าเสรีในกรอบ “อาเซียนบวกหก” โดยเพิ่มความร่วมมือกับประเทศนอกอาเซียนเพิ่มอีก ๓ ประเทศ คือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย รวมเป็น ๑๖ ประเทศ

ความเกี่ยวข้องของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกับวิชาชีพพยาบาล
  • การเปิดเสรีบริการวิชาชีพด้านสุขภาพ วิชาชีพพยาบาลเป็นงานบริการสาขาสุขภาพที่มี
การเจรจาอยู่ภายใต้บริการสุขภาพเร่งรัดภายใต้ AEC Blueprint ที่ต้องยกเลิกข้อจำกัดการเข้าสู่ตลาดและข้อจำกัดในการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติใน การให้บริการทุกรูปแบบ และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนอาเซียนได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐

รูปแบบการให้บริการสุขภาพ(Mode of Supply)
Mode1 การค้าบริการข้ามพรมแดน ในกรณีบริการทางการแพทย์เรียกว่า telemedicine
โดยการให้บริการผ่านทางอินเทอร์เนต เช่น บริการออกใบรับรองแพทย์ และบริการอ่านผล เอ็กซ์เรย์ เป็นต้น
Mode2 การเข้าไปรับบริการต่างแดน
Mode3 การจัดตั้งหน่วยธุรกิจในต่างแดน
Mode4 การเข้าไปทำงานของบุคลากรเป็นการชั่วคราว
ข้อผูกพันเฉพาะในรายสาขา
กัมพูชาและลาวเป็นสมาชิกอาเซียนที่ไม่มีข้อผูกพันในสาขาการบริการวิชาชีพ การพยาบาล ผดุงครรภ์ กายภาพบำบัด และเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ ขณะที่ประเทศอาเซียนอื่นๆมีข้อผูกพันบริการวิชาชีพสาขานี้ โดยมีระดับการเปิดตลาดและขอบเขตที่แตกต่างกันไป สำหรับในประเทศไทยนั้น มีข้อผูกพันและเงื่อนไขเฉพาะครอบคลุมเฉพาะบริการวิชาชีพการพยาบาล โดยอนุญาตให้จัดตั้งในรูปแบบ Departmentในโรงพยาบาลและดำเนินการได้ ๑ แห่งเท่านั้น ผูกพันการจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบบริษัทจำกัด โดยกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติไว้ไม่เกินร้อยละ ๔๙ ส่วนข้อผูกพันและเงื่อนไขทั่วไป ไม่มีข้อจำกัดสำหรับการค้าบริการข้ามพรมแดนและการเข้าไปรับบริการในต่างแดน นั้น ผู้ที่รับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจต้องมีใบอนุญาตดำเนินการ และต้องเป็นผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องด้วย สำหรับการเข้าไปทำงานของบุคลากรเป็นการชั่วคราวจะผูกพันเฉพาะผู้โอนย้ายภาย ในบริษัทข้ามชาติระดับบริหารจัดการและผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
กลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์ของไทย แบ่งได้เป็น ๒ กลุ่มคือ
  • สถานพยาบาลภาครัฐ ประกอบด้วยโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลขนาดใหญ่/เฉพาะทาง โรงพยาบาลชุมชน สถานีอนามัย และสถานพยาบาลภาครัฐอื่นๆซึ่งมีบทบาทสำคัญในการให้บริการแก่คนไทย
  • สถานพยาบาลภาคเอกชน ประกอบด้วยโรงพยาบาลและคลินิก มีบทบาทในการให้บริการผู้ป่วยสิทธิประกันสังคม ผู้ป่วยที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง รวมทั้งชาวต่างชาติที่มาใช้บริการ
จากข้อมูลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าจำนวนชาวต่างชาติจากประเทศสมาชิกอาเซียน ที่มารับบริการในโรงพยาบาลเอกชนไทยระหว่างปี ๒๕๔๖-๒๕๕๐ มีเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ ๔ รองลงมาจาก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกา ซึ่งชาวต่างประเทศที่มาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทย สามารถแบ่งได้เป็น ๓ประเภทได้แก่ ชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยหรือประเทศใกล้เคียง นักท่องเที่ยวต่างชาติ และผู้เดินทางเข้ามาเพื่อรับบริการสุขภาพ นอกจากนี้ แนวโน้มที่ผู้ใช้บริการจะเป็นผู้สูงอายุจะสูงมากขึ้นมาก
  • การจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) องค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้องได้จัดทำข้อตกลงยอมรับ
ร่วมในคุณสมบัติทางวิชาชีพในวิชาชีพหลักๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ซึ่งอาเซียนได้ลงนาม MRA ในสาขาวิชาชีพพยาบาล แพทย์ และทันตแพทย์แล้ว โดยสาขาวิชาชีพพยาบาลมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ หลักการคือเปิดให้พยาบาลที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดสามารถจดทะเบียนหรือขอรับ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพพยาบาลในประเทศอาเซียนอื่นได้ โดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ โดยในประเทศไทยจะมีสภาพยาบาลเป็นผู้ดูแลและมีการตอบสนองโดยการจัดทำแผน ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนานโยบายด้านการพยาบาลและผดุงครรภ์ และระบบสุขภาพที่เป็นมาตรฐานสากล ในยุทธศาสตร์ที่ ๕.๑ เร่งรัดพัฒนาความร่วมมือกับองค์กรวิชาชีพระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาระบบบริการ ที่เป็นมาตรฐานสากล และพัฒนาการประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ โดยมีมาตรการพัฒนากลไก เพื่อให้สอดคล้องกับ นโยบายและข้อกำหนดตาม ASEAN/MRA โดยมีเป้าหมายเพื่อการมีฐานข้อมูลด้านการพยาบาล ผดุงครรภ์ และระบบสุขภาพที่ใช้ร่วมกันระหว่างประเทศ ประโยชน์ของการดำเนินการตาม MRA จะช่วยให้พยาบาลที่มีใบอนุญาตในประเทศเดิมและมีประสบการณ์ สามารถขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพในประเทศอื่นได้สะดวกขึ้น โดยลดขั้นตอนการตรวจสอบ/รับรองวุฒิการศึกษาหรือความรู้ทางวิชาชีพ นอกจากนี้ข้อตกลงยังมีวัตถุประสงค์เพื่อ
  • อำนวยความสะดวกแก่การเคลื่อนย้ายพยาบาลวิชาชีพในประเทศสมาชิก
  • แลกเปลี่ยนสารสนเทศ และความเชี่ยวชาญในเรื่องมาตรฐานและคุณสมบัติ
  • ส่งเสริมให้มีการสร้างแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการให้บริการ
  • เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาและฝึกฝน รับรู้รายละเอียดหน้าที่และสิทธิของพยาบาลวิชาชีพต่างชาติและข้อมูลอื่นๆ
  • การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ (Skill worker) หมายถึงผู้มีใบประกาศนียบัตรรับรองฝีมือ
แรงงานของประเทศสมาชิกที่เป็นแหล่งกำเนิด (Country of origin) สามารถเข้าไปทำงานในประเทศใดก็ได้ในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างเสรี ทำให้เกิดการสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนของแรงงานที่มีฝีมือและอำนวยความสะดวกให้ แรงงานที่มีฝีมือที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่กำหนดมีความสะดวกในการเคลื่อน ย้ายไปทำงานในกลุ่มประเทศสมาชิกได้ง่ายขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามในข้อตกลงยอมรับร่วมทางวิชาชีพสาขา ต่างๆ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล บริการบัญชี บริการวิศวกร สถาปนิก และนักสำรวจ ผลของการเคลื่อนย้ายแรงงานในภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่ผ่านมา ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพ เช่นโรคไร้พรมแดน โรคอุบัติใหม่ และอุบัติซ้ำ ทำให้เกิดเป็นภาระของวิชาชีพพยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพของประเทศอีกด้วย

ผลกระทบต่อระบบริการของพยาบาลในประเทศไทย
                ผลกระทบเชิงบวก
  • ยกระดับมาตรฐานการให้บริการพยาบาล เพิ่มพูนขีดความสามารถของพยาบาลไทย
  • ตลาดทางการพยาบาลมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • เพิ่มโอกาสในการพัฒนาองค์ความรู้ทางการพยาบาลข้ามวัฒนธรรม การพยาบาลที่สอดคล้องกับภูมิปัญญาอาเซียน การพยาบาลโรคไร้พรมแดน และการพยาบาลเชิงธุรกิจ เป็นต้น
  • เกิดการพัฒนาการจัดการศึกษาทางการพยาบาลที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทางการพยาบาล
  • เพิ่มปัจจัยการผลิตบริการทางการพยาบาล มีการใช้ทรัพยากรการผลิตร่วมกัน และเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน
ผลกระทบเชิงลบ
  • มีการแข่งขันของการบุคลากรทางการพยาบาลมากขึ้น
  • หากระบบริการทางการพยาบาลภาครัฐของไทยไม่มีการพัฒนาประสิทธิภาพของแรง งาน (Labor productivity) อาจทำให้เกิดสมองไหลจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนได้
  • อาจเกิดการเคลื่อนย้ายบุคลากรทางการพยาบาลที่มีฝีมือของไทยไปยังประเทศที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า
  • อาจทำให้เกิดภาวะคลาดแคลนบุคลากรทางการพยาบาล
สถานภาพวิชาชีพพยาบาลไทย
จากการที่มีการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกไปอย่างมากตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นมา ทำให้
เกิดปัญหาสุขภาพ และปัญหาการขาดแคลนกำลังคนในระบบบริการสุขภาพ ส่งผลต่อการปรับตัวของวิชาชีพพยาบาลเป็นอย่างมาก จึงมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่พยาบาลวิชาชีพทุกคนจะต้องเข้าใจถึงสถานภาพ ของวิชาชีพพยาบาลไทยในปัจจุบัน ซึ่งจากการศึกษาโดยการใช้ SWOT Analysis สามารถสรุปได้ดังนี้
                จุดแข็ง(Strength)
  • มีการกำหนดมาตรฐานการให้บริการพยาบาลและมีการควบคุมมาตรฐาน
  • มีสถาบันการศึกษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน มีระบบการประกันคุณภาพด้านการศึกษาที่เข้มแข็ง
  • มีการสอบขึ้นทะเบียนใบประกอบวิชาชีพและมีการกำหนดให้มีการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นการต่ออายุใบประกอบวิชาชีพ
  • พยาบาลไทยมีสมรรถนะสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียน
  • มีการพัฒนาบันไดวิชาชีพเพื่อส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะทางการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
  • พฤติกรรมบริการของพยาบาลไทยเน้นความเอื้ออาทรและมีความเสียสละสูง
  • เมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง เช่น พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม การพัฒนาทางการพยาบาลของไทยมีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง มีการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) ส่งผลให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการพยาบาลและเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขันในเวทีโลก
  • มีการพัฒนาองค์ความรู้ทางการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพยาบาลเฉพาะทาง
  • มีการพัฒนาทักษะทางการพยาบาล โดยเฉพาะทักษะการพยาบาลขั้นสูงสาขาต่างๆ
  • ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการขยายบทบาทด้านการพยาบาลเวชปฏิบัติ
จุดอ่อน (Weakness)
  • การขาดแคลนกำลังคนทั้งพยาบาลวิชาชีพและอาจารย์พยาบาล
  • ขาดแคลนอัตรากำลัง
  • มีการไหลของสมองของพยาบาลวิชาชีพจากภาครัฐสู่ภาคเอกชน
  • มีการจุกตัวของพยาบาลวิชาชีพในเขตเมือง เกิดภาระในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพในแถบชนบท
  • มีการเน้นบทบาทด้านการรักษาฟื้นฟูผู้เจ็บป่วยมากกว่าการสร้างเสริมสุขภาพ ทำให้ขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพในระดับปฐมภูมิ
  • มีต้นทุนการผลิตพยาบาลวิชาชีพสูง
  • ความพร้อมในด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการพยาบาลยังอยู่ในขั้นต่ำ
  • การพัฒนาการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง
  • นโยบายของภาครัฐไม่เอื้อต่อการคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพ
โอกาส(Opportunities)
  • การรวมเป็น AEC ทำให้เกิดตลาดบริการสุขภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้พยาบาลวิชาชีพของไทยมีทางเลือกมากขึ้น
  • ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนบวกหก จะส่งเสริมให้มีการปรับตัวของพยาบาลไทยให้มีระบบการบริการพยาบาลที่ได้ มาตรฐานสากล สามารถตอบสนองความจำเป็นและความต้องการของผู้ใช้บริการที่มีความหลากหลายทาง วัฒนธรรมทำให้เพิ่มขีดความสามารถของพยาบาลวิชาชีพของไทย
  • กลุ่มประเทศ AEC ทำให้เกิดความต้องการบริการทางสุขภาพเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดการพัฒนาองค์ความ รู้ทางการพยาบาล โดยเฉพาะการพยาบาลโรคไร้พรมแดน การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม การพยาบาลผู้สูงอายุ และการบริการพยาบาลเชิงธุรกิจ เป็นต้น
  • กลุ่มประเทศ AEC ทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนาการจัดการศึกษาทางการพยาบาลให้สอดรับกับความต้องการตลาดใหม่ทางการพยาบาล
  • ทำให้เพิ่มปัจจัยการผลิตบริการทางการพยาบาล ส่งเสริมการพัฒนาบริการทางการพยาบาล การศึกษาของวิชาชีพทางการพยาบาล รวมทั้งส่งเสริมความสามารถด้านภาษาอังกฤษแก่พยาบาลวิชาชีพไทยร่วมกับประเทศ สมาชิกอื่นๆ
ภัยคุกคาม(Threat)
  • การเพิ่มจำนวนของประชากรส่งผลให้เกิดปัญหาทางสุขภาพเพิ่มขึ้น เกิดโรคเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนของโรคเพิ่มขึ้น
  • ปัญหาด้านโครงสร้างประชากรสูงอายุที่เป็นวัยพึ่งพิงมากขึ้น ส่งผลต่อความต้องการการบริการพยาบาลเพิ่มมากขึ้น
  • โครงสร้างประชากรวัยทำงานลดลง ส่งผลให้เกิดการคลาดแคลนบุคลากรทางการพยาบาลมากขึ้นในอนาคต
  • ความต้องการบริการพยาบาลไทยในรูปแบบของการให้บริการชาวต่างชาติที่มารับบริการรักษาในประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ ส่งผลต่อลักษณะการให้บริการทางการพยาบาล
  • วิกฤติทางเศรษฐกิจและทรัพยากรส่งผลต่อการดำเนินชีวิตทั้งของผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ
  • การเคลื่อนย้ายแรงงานในกลุ่มประเทศสมาชิก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคใหม่ๆ โรคไร้พรมแดน โรคติดต่อ/โรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ
  • แนวโน้มรูปแบบการลงทุน/ธุรกิจทางด้านสุขภาพมุ่งเน้นการรักษาฟื้นฟู มากกว่าการสร้างเสริมสุขภาพ ทำให้เกิดการขาดแคลนบุคลากรด้านการพยาบาลที่ทำงานด้านส่งเสริมในระดับปฐม ภูมิได้
บทบาทพยาบาลวิชาชีพไทยในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ในอนาคตเมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ AEC ตลาดบริการด้านสุขภาพจะเปิดกว้างสำหรับชาวต่างชาติที่มีกำลังจ่ายและความ ต้องการบริการพยาบาลทางด้านการรักษาพยาบาลโรคเรื้อรังในผู้สูงอายุ และโรคไร้พรมแดนในวัยทำงานจะเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อความต้องการบริการทางการพยาบาลจะสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งในระดับปัจจัยการผลิต และระดับผู้บริโภค ระบบอุปทานทางการพยาบาลของไทยซึ่งมีทั้งระบบการจัดการทรัพยากรเพื่อการบรรลุ เป้าหมายสุขภาวะของผู้ใช้บริการ(ฝ่ายการพยาบาลในองค์กรพยาบาล) และระบบการเตรียมทรัพยากรทางการพยาบาล(สถาบันการศึกษาทางการพยาบาล) จึงต้องสอดรับกับความต้องการหรืออุปสงค์ที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึงพยาบาลวิชาชีพทุกคนจำเป็นต้องเตรียมและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงใน อนาคตอันใกล้นี้

การวิเคราะห์ทิศทางการปรับตัวของพยาบาลวิชาชีพของไทย
แนวทางในการกำหนดทิศทางการปรับตัวของพยาบาลวิชาชีพให้สอดคล้องกับศักยภาพและปัจจัยแวดล้อมต่างๆโดยมีหลักในการวิเคราะห์ดังนี้
  • SO strategies (รุก/เติบโต)เป็นการคิดหาแนวทางในการการใช้จุดแข็งที่มีอยู่ในการสร้างความได้เปรียบจากโอกาสที่เอื้ออำนวยให้
  • WO strategies (พัฒนา/ปรับปรุง)เป็นการหาแนวทางในการปรับปรุงจุดอ่อนให้ดีขึ้น ด้วยการใช้โอกาสที่เกิดขึ้นจากภายนอก
  • ST strategies (ปรับตัว/ป้องกัน) เป็นแนวทางในการใช้จุดแข็งที่มีอยู่ในการหาทางหลีกเลี่ยงหรือลดผลกระทบจาก อุปสรรคหรือภัยคุกคามจากภายนอก
  • WT strategies (เปลี่ยนแปลง/ประคับประคอง)เป็นแนวทางในการลดจุดอ่อนภายในให้เหลือน้อยที่ สุด และหลีกเลี่ยงอุปสรรคหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากภายนอก
เมื่อนำข้อมูลศักยภาพในปัจจุบันของวิชาชีพพยาบาลไทยมาวิเคราะห์ในกรอบของ SWOT สามารถ
กำหนดทิศทางการปรับตัวของพยาบาลวิชาชีพได้ ดังนี้
  • การปรับตัวเชิงรุกเพื่อการเจริญเติบโต
  • การพัฒนาบริการพยาบาลสู่มาตรฐานสากล
  • การพัฒนาบันไดวิชาชีพสู่มาตรฐานสากล
  • การพัฒนาองค์ความรู้เฉพาะทางด้านการพยาบาลข้ามวัฒนธรรม โรคอุบัติใหม่ และภัยพิบัติ
  • การพัฒนาสถาบันทางการศึกษาด้านการพยาบาลให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาพยาบาลของอาเซียน(ASEAN Nursing Education Hub)
  • การปรับตัวเชิงรุกและการพัฒนา
  • การพัฒนาProductivity ทางการพยาบาลจากปัจจัยการผลิตร่วม
  • การพัฒนาProductivity ทางการพยาบาลจากระบบสารสนเทศ
  • การพัฒนาการศึกษาพยาบาลจากปัจจัยการผลิตร่วม
  • การพัฒนาระบบการบริหารพยาบาลให้สามารถดึงดูดบุคลากร
  • การปรับตัวเชิงการป้องกัน
การส่งเสริมและสนับสนุนให้พยาบาลวิชาชีพสร้างผลงานทางวิชาการตามบันไดวิชาชีพจาก
นวัตกรรม และ PAR (Participatory action Research) การพัฒนาภาพลักษณ์วิชาชีพพยาบาลให้มีความชัดเจนในด้านการส่งเสริมสุขภาพและ การดูแลผู้ป่วยที่มีความเจ็บป่วยแล้ว การพัฒนาทักษะของพยาบาลเวชปฏิบัติด้าน Primary medical Care ให้ครอบคลุมโรคไร้พรมแดน โรคเรื้อรัง สุขภาพจิตชุมชน รวมทั้งการสร้างสำนึกรักบ้านเกิดให้กับพยาบาลวิชาชีพ และนักศึกษาพยาบาล

  • การปรับตัวเชิงประคับประคองและการเปลี่ยนแปลง
การลดความต้องการบริการทางการพยาบาลเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการ
พยาบาล เน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อส่งเสริมสุขภาพป้องกันความเจ็บป่วย และใช้การตลาดทางการพยาบาลที่เน้น Social Marketing เน้นการพัฒนานวัตกรรมทางการพยาบาลจาก PAR ที่เน้นการจัดแบบกระชับ (Lean Management) ทั้งในระบบบริการทางการพยาบาลและระบบการศึกษาพยาบาล ส่งเสริมให้มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เอื้อต่อการคงอยู่ในงาน ของพยาบาลวิชาชีพ และการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษและด้านสารสนเทศให้แก่พยาบาลวิชาชีพในทุกระดับ
สรุป การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของไทยในปี พ.ศ.๒๕๕๘ จะทำให้อุปสงค์ของพยาบาลวิชาชีพไทยเปลี่ยนแปลงไป ทำให้พยาบาลวิชาชีพต้องมีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น เพราะจะเกิดการใช้ทรัพยากรในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งวิชาชีพพยาบาลเป็นหนึ่งในสาขาบริการเร่งรัด (Priority Integration Sector) ที่ได้มีการจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมในคุณสมบัติทางวิชาชีพ (MRA) ไม่ว่าจะปฏิบัติงานอยู่ในหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน พยาบาลวิชาชีพจะได้รับผลกระทบด้านลบมากกว่าด้านบวกจากการเกิดภาวะสมองไหลและ ขาดแคลนกำลังคน การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะเกิดในอนาคตจึงควรมุ่งเรื่อง workforce Productivity เพื่อแก้ปัญหาในระยะสั้น และการทำ Social Marketingเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวจึงเป็นเรื่องจำเป็น
ประเด็นการใช้สถิติในการวิจัยทางพยาบาลศาสตร์
บรรยายโดย รศ.ดร.บุญใจ ศรีสถิตนรากูร

การวิจัย การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นคว้าและ พัฒนางานในศาสตร์ทุกแขนง เป็นการขยายขอบเขตความรู้ให้กว้างขึ้น เป็นการศึกษาหาความรู้อย่างเป็นระบบระเบียบเพื่อแสวงหาคำตอบสำหรับปัญหา หรือเพื่อการแสวงหาความรู้ใหม่ วิธีการทำงานใหม่ ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการและในการปฏิบัติงาน โดยมีความถูกต้องและเชื่อถือได้

การออกแบบการวิจัย
การออกแบบการวิจัยเป็นการกำหนดรูปแบบ ขอบเขต และแนวทางการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบหรือข้อความรู้ตามปัญหาวิจัยที่ตั้งไว้

หลักการออกแบบการวิจัย
เมื่อพิจารณาถึงการออกแบบการวิจัยในแง่ประสิทธิผลแล้ว การออกแบบการวิจัยนั้นมุ่งที่จะให้ได้ข้อค้นพบที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของ การวิจัย ได้คำตอบของคำถามการวิจัยที่ถูกต้อง ผลที่ได้มีความเที่ยงตรง มีการควบคุมการแปรปรวนของตัวแปร สามารถวัดตัวแปรได้อย่างถูกต้อง มีการระบุขั้นตอนในการดำเนินการวิจัยที่ชัดเจน ต่อเนื่องทำให้การดำเนินการวิจัยสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและประหยัด ทั้งงบประมาณ แรงงานและระยะเวลา

ความเที่ยงตรงของการออกแบบการวิจัย ในการออกแบบการวิ จัย มีความมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผลวิจัยที่ถูกต้อง เที่ยงตรงและมีความเชื่อมั่นมากที่สุด โดยความเที่ยงตรงที่เกิดขึ้นในการวิจัยสามารถจำแนกได้ ดังนี้

๑. ความตรงภายใน (Internal validity)การ วิจัยจะมีความตรงภายในสูงเมื่อความแตกต่างหรือความแปรปรวน (variation) ที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตาม (dependent variable) เป็นผลเนื่องมาจากตัวแปรอิสระ (Independent variable) ของการวิจัยเท่านั้น ซึ่งสามารถพูดได้ในอีกนัยหนึ่งคือ ผู้วิจัยสามารถวัดค่าตัวแปรอิสระและตัวแปรตามได้อย่างมีความคลาดเคลื่อนต่ำ ตลอดจนสามารถควบคุมตัวแปรเกินหรือตัวแปรแทรกซ้อนทั้งหมดซึ่งเป็นตัวแปรอิสระ ที่คาดว่าน่าจะส่งผลหรือมีอิทธิพลต่อตัวแปรตามไว้ได้นั่นเอง เช่น หลังจากการควบคุมระดับสติปัญญา และฐานะทางเศรษฐกิจของผู้เรียน คุณวุฒิและประสบการณ์ของผู้สอนแล้วปรากฏว่าวิธีการสอนแบบ x ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยสูงกว่าวิธีการสอนแบบ y เป็นต้น
การออกแบบการวิจัยให้มีความตรงภายในสูงนั้น ผู้วิจัยจะต้องสามารถออกแบบการวัด เพื่อ
วัดค่าตัวแปร และควบคุมตัวแปรได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนจะต้องสามารถออกแบบการใช้สถิติ เพื่อเลือกใช้สถิติเชิงบรรยาย และวิธีการ วิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
การออกแบบการวัด (measurement design) ประกอบด้วย
  • การกำหนดรูปแบบและวิธีการวัดค่าตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
  • ระบุโครงสร้างและความหมายของตัวแปร
  • การสร้างสเกลและเครื่องมือวัดค่าตัวแปร
  • การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ
  • วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การกำหนดรูปแบบและวิธีวัดค่าหรือควบคุมตัวแปรเกิน
  • นำตัวแปรเกินมาใช้เป็นตัวแปรอิสระ
  • จัดสมาชิกเข้ากลุ่มโดยการสุ่ม (Random Assignment)
  • จัดสภาพการณ์เพื่อขจัดอิทธิพลของตัวแปรเกิน
  • ใช้วิธีการทางสถิติเพื่อควบคุมค่าของตัวแปรเกิน
การออกแบบการใช้สถิติ (statistical design) ประกอบด้วย
  • การเลือกใช้สถิติเชิงบรรยายที่เหมาะสมกับสเกลการวัดและวัตถุประสงค์ของการวิจัย
  • การวิเคราะห์และบรรยายข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่ถูกต้อง
๒. ความตรงภายนอก (External validity)
การวิจัยจะมีความตรงภายนอกสูงเมื่อผลการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างสามารถสรุป อ้างอิง (inference) ไปยังประชากรเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง หรือสามารถนำผลการวิจัยไปสรุปใช้ (generalize) ในสถานการณ์อื่นที่คล้ายคลึงกันได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสามารถกล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผู้วิจัยจะต้องสามารถสุ่มหรือคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีความเป็นตัวแทน ประชากรเป้าหมายที่ต้องการสรุปอ้างอิงไปถึง และจะต้องสามารถเลือกใช้สถิติเชิงสรุปอ้างอิงจากค่าสถิติของกลุ่มตัวอย่างไป ยังค่าพารามิเตอร์ของประชากรได้อย่างถูกต้อง ความตรงภายในเป็นคุณสมบัติพื้นฐานสำหรับความตรงภายนอก นั่นคือ การวิจัยจะมีความตรงภายนอกสูง เมื่อการวิจัยนั้นประกอบด้วยความตรงภายใน ตลอดจนผู้วิจัยจะต้องสามารถออกแบบการสุ่มตัวอย่าง (Sampling design) เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากรเป้าหมายโดยการสุ่ม (random selection) และจะต้องสามารถออกแบบการใช้สถิติ เพื่อเลือกใช้สถิติเชิงสรุปอ้างอิงในการวิเคราะห์และแปลความหมายได้อย่างถูก ต้อง

๓.ความตรงเชิงโครงสร้างการทดลอง (Experimental  Construct Validity) คือ การนำสิ่งที่ใช้ในการทดลองเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อทราบผลแล้วจะนำไปใช้ได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับการเลือกสิ่งที่จะใช้ทดลอง เหมาะสมหรือไม่ บางครั้งผู้วิจัยมุ่งเน้นเรื่องความตรงภายในมากแต่ลืมให้ความสำคัญกับความ ตรงภายนอก  เช่น ถ้าต้องการเปรียบเทียบการสอนแบบสาธิตกับวิธีการสอนแบบโครงงานในวิชาเกษตร โดยจัดการให้เกิดความตรงภายในเป็นอย่างดีและได้ผลตามที่ต้องการแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจนำไปใช้ได้ในทางปฏิบัติเพราะการสอนทั้งสองแบบมีวัตถุประสงค์ต่างกัน หรือทดลองเปรียบเทียบวิธีการอ่านออกเสียงกับการอ่านในใจแล้วพบว่าการอ่านออก เสียงได้ผลดีกว่าแต่ในทางปฏิบัติอาจใช้ได้ยาก  เป็นต้น

๔. ความเที่ยงตรงเชิงสถิติ(Statistic Conclusion Validity) เป็นคุณภาพของการเลือก ใช้สถิติเพื่อการจัดทำและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างถูกต้องและข้อมูลมีลักษณะ ที่สอดคล้องกับข้อตกลงเบื้องต้นของสถิตินั้น ๆ ที่ในการเลือกใช้สถิติ อาจจะก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนที่มีวัตถุประสงค์ หรือขาดประสบการณ์ อาทิ จงใจเลือกวิเคราะห์หรือนาเสนอผลเฉพาะจุดที่สอดคล้องกับสมมุติฐานเท่านั้น หรือ การบิดเบือนข้อมูลหรือผลการวิเคราะห์ หรือการวิเคราะห์ แบบลองถูกลองผิดจนกระทั่งได้ผลการวิเคราะห์ที่สอดคล้อง

ที่มา: https://kmanamai.wordpress.com/2015/04/21/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น